วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554

เหล็กไหล ปีกแมลงทับ 21 มกราคม 2554




เหล็กไหล...ก้อน แร่เหล็กบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ได้รับการอธิษฐานบรรจุฤทธิ์ โดยพระฤาษีผู้ทรงฌาณชั้นสูง
เพื่อธำรงคุณงามความดี โดยมีธาตุกายสิทธิ์เป็นผู้คอยช่วยเหลือผู้ที่มีความทุกข์ยากให้พ้นภัย
จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่มีรังสีหรือพลังปราณที่ทรงอำนาจในการ ป้องกันตัว
และสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวให้พ้นจากภัยอันตรายอันเกิดจากอาวุธปืนหรือของมีคม
เป็นสสารที่มีชีวิตเป็นอมตะและหายากยิ่ง ต้องมีพิธีกรรมมากมายกว่าจะได้มา

ฉะนั้นเหล็กไหลจึงเป็นวัตถุอาถรรพณ์ที่มีราคาแพง เพราะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย
และเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า เหล็กไหลมีอานุภาพยอดเยี่ยม สามารถคุ้มครองชีวิตคนที่มีเหล็กไหลพกติดตัว
และจะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัยจากอุบัติภัยร้ายแรง รวมถึงอาวุธร้ายแรงนานาชนิดได้อย่างน่าอัศจรรย์นั่นเอง

คำว่า "ธาตุกายสิทธิ์" นั้น หมายถึง วัตถุธาตุบางชนิดที่ปรากฏอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้
ประกอบไปด้วยพลังงานอันมหาศาล อันเกิดจากเจตสิกผู้ครอบครองธาตุนั้นแฝงเร้นอยู่
ใช้สำหรับป้องกันภัยให้กับตนเองโดยธรรมชาติ แต่บางครั้งไม่ได้ปรากฏให้เห็นชัดเจน
กลับซึมลึกลงไปอยู่ใต้พื้นผิวโลก ตามป่าตามเขา ตามถ้ำ แม้แต่ห้วยหนอง คลองบึง ร
อจนกว่าผู้ที่มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงไปพบเข้า แล้วหยิบยกเอาธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้มาใช้ประโยชน์
เพื่อมวลมนุษยชาติและปกป้องคุ้มครองคนหมู่มาก ดังนั้นจึงเชื่อกันว่า "เหล็กไหล"
จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยธาตุที่สำคัญดังนี้

1. ธาตุเหล็ก คือ ธาตุหลักเนื่องจากมีความแข็งแกร่งมากที่สุดในยุคนั้น

2. ธาตุดิน ที่ถูกความอัดแน่นของโลก จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาเป็นหินสีต่างๆ เช่น เพชร นิล จินดา อัญมณีหลากสี

3. ว่านมหามงคล ที่มีฤทธิ์อำนาจในตัว เช่น ว่านต่างๆ ไพรดำ ซึ่งเป็นพืชที่ดูดซับเอาพลังต่างๆ จากผืนดินเก็บสะสมเอาไว้ในตนเอง จนเกิดฤทธิ์เดช

4. ปรอท หรือ ธาตุอื่นๆ ที่สามารถเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนที่ได้ด้วยตนเอง โดยการอ่อนตัวแล้วกลิ้งไหลไป มีฤทธิ์อำนาจทางความยืดหยุ่น
หรือหดตัวเองได้ หลีกภัยได้เร็ว ปรับสภาพตนเองให้เป็นไปในลักษณะต่างๆ ได้

ดังนั้นแร่เหล็กที่อยู่ภายใต้ลาวานั้น ย่อมได้รวบรวมเอาสรรพสิ่งจากธาตุกายสิทธิ์ทั้งหลายเหล่านั้นรวมกันไว้ในตัวเอง
คือมีฤทธิ์ในการปกป้องตนเองให้พ้นจากภัยในทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้นเมื่อมหาฤาษีได้ใช้อิทธิฤทธิ์ดึงธาตุเหล่านี้ขึ้นมา
แล้วถอดจิตด้วยฌาณสมาบัติเข้าแฝงตนอยู่ในธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ เพื่อฝึกฝนปฏิบัติทางจิตให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
จึงทำให้เจตสิกของผู้ทรงฌาณนั้นเกิดพลังอันมหาศาล แม้แต่จะงอเหล็กก็ยังได้ จนมนุษย์ได้ค้นพบสิ่งเหล่านี้เข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ
และไม่ทราบว่ามันคืออะไร ก็เลยเรียกกันว่า "เหล็กไหล" ตามสภาวะการแสดงอิทธิ์ฤทธิ์ที่ปรากฏต่อสายตาในขณะนั้นนั่นเอง
คือลักษณะ เหมือนก้อนเหล็กที่ยืดตัวได้ มีสีสรรต่างๆ กันหลายรูปแบบ เหล็กไหลจึงเป็นธาตุ กายสิทธิ์ที่ทรงอิทธิฤทธิ์
จนกลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่ผู้คนแสวงหาไม่รู้จักจบมาทุกยุคทุกสมัยตราบจนเท่า ทุกวันนี้

ดังนั้น "เหล็กไหล" จึงเป็นที่ปรารถนาและใฝ่ฝันของคนทั่วไป แม้บางที่จะต้องเสี่ยงภัยถึงขั้นเอาชีวิตแลกก็ยอม
เรื่องราวของเหล็กไหลจึงดูเหมือนเป็นเรื่องลี้ลับซับซ้อน และหลายคนคงอยากจะรู้เหมือนกันว่า เหล็กไหลคืออะไรกันแน่... เกิดขึ้นมาได้อย่างไร...
เหล็กไหลที่ทรงอิทธิฤทธิ์นี้ มีจริงหรือไม่...? จึงเป็นปรัศนีที่ท้าทายความกระหายใคร่อยากรู้ตามลักษณะวิสัยของมนุษย์
จึงทำให้ต้องเที่ยวหาคำตอบจากผู้รู้ทั้งหลาย หรือผู้มีประสบการณ์ที่มีความรู้ที่พึงเชื่อถือได้ จนกลายเป็นตำนาน "เหล็กไหล"
ที่เล่าขานสืบทอดกันมาแต่สมัยโบราณตราบถึงปัจจุบัน



สีสันและคุณประโยชน์

1. สีเงินยวง เหล็กไหลชนิดนี้มีอริยเทพ อริยพรหมในระดับ อรูปฌาณ รักษาอยู่ เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีธรรมในชั้นสูง
พบมากในแถบที่มีอากาศเย็นจัด พวกลามะทิเบตมักใช้พกติดตัว จึงพบมากในเขตเทือกเขาสูงที่มีหิมะปกคลุม เช่นประเทศทิเบต จีน
แถบภาคเหนือของไทย ลาว ดีเด่นทางเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด และล่องหนหายตัวได้ ชอบช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรม
หรือดลใจให้ผู้ครอบครองมีจิตใจฝักใฝ่อยู่ในการสร้างบุญสร้างกุศล

เหล็กไหลชนิดนี้จัดได้ว่า เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีธรรมสูงสุดในบรรดาผู้ครอบครองเหล็กไหลทุกชนิด
สมัยโบราณมักจะนำไปจัดสร้างพระพุทธรูปหรือเครื่องรางของขลังในสมัยโบราณ ดังนั้นเหล็กไหลชนิดนี้จึงมักจะอยู่ในความครอบครองของนักบวชต่างๆ
เช่น ฤาษี ชีไพร ภิกษุสงฆ์ผู้ท่องเที่ยวหาความวิเวกตามป่าเขา

2. สีเขียวปีกแมลงทับ เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยเทพ อริยพรหม ในระดับ รูปฌาณ เป็นผู้ดูแลรักษา เพื่อมอบให้กับผู้ที่มีบุญบารมี
และผู้ที่กำลังประพฤติปฏิบัติอยู่ในบุญกุศล เพื่อแสวงหาความหลุดพ้นนั้น ส่วนใหญ่จะมีบริวารเป็นจำนวนมากคอยอารักขาหลายชั้น
ผู้พบเห็นส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประพฤติธรรม ที่บังเอิญผ่านเข้าไปพบเข้าโดยบังเอิญ หรือเกิดจากการลองใจของเทพผู้รักษาเหล็กไหลก็แล้วแต่
บุคคลธรรมดาทั่วไปอย่าหมายว่าจะครอบครองเป็นเจ้าของได้โดยง่าย

ดีเด่นในทุกๆ ทาง ไม่ว่าเป็นเมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย ล่องหนหายตัว มหาอุด คงกระพัน ยืดได้หดได้
เล่นกับไฟ กินน้ำผึ้ง

3. สีทอง หรือ สีน้ำตาลอ่อน เหล็ก ไหลชนิดนี้จะมีเทวดาจำพวกคนธรรพ์และเหล่าเพชรพญาธร เป็นผู้ดูแลรักษา
มีฤทธิ์อำนาจใกล้เคียงกับเหล่าพญานาค แต่มีฤทธือำนาจพิเศษกว่าคือสามารถที่จะลื่นไหลไปมาได้ สามารถที่จะกำบังกายได้ มีอยู่ตามป่าเขาทั่วไป

ดีเด่นทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ และความรักเด่นเป็นพิเศษ

4. สีเขียวอมดำ เหล็ก ไหลชนิดนี้มี อริยะเทพ อริยะพรหม ในระดับ รูปพรหม เป็นอริยะธรรมในระดับสูง
ที่มุ่งบำเพ็ญบารมีรักษาพระพุทธศาสนา จะอยู่เฝ้ารักษาพระบรมสารีริกธาตุหรืออรหันต์ธาตุที่สำคัญไว้
จึงมักจะปรากฏเป็นลูกไฟดวงใหญ่เป็นสีแสงคุ้มครองรักษาธาตุศักดิ์สิทธิ์ ไม่ให้ผู้คนเข้าไปรบกวน

เด่นทางด้านอิทธิ์ฤทธิ์ เนรมิตภาพมายา ส่งเสริมผู้ใฝ่ในการปฏิบัติธรรมในรูปแบบการชี้แนะผ่านทางนิมิตรสมาธิ
หรือความฝัน จัดเป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมากชนิดหนึ่ง

5. สีชมพู เหล็ก ไหลชนิดนี้มี อริยเทพ อริยพรหม ในระดับ รูปฌาณ รักษาอยู่ เป็ไหลที่มี บารมีธรรมในระดับสูงรองลงมาจาก
อรูปฌาณ พบมากในเขตป่าเขาที่มีความชุ่มชื้น มักอยู่ตามถ้ำภูผาที่ลึกลับ พบเห็นได้ยาก นอกจากผู้มีบารมีธรรมเข้าถึงสัจจธรรมเท่านั้น

ดีเด่นทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาด กันภัย ช่วยเหลือผู้เป็นสัมมาทิฏฐิให้สำเร็จในสิ่งที่อธิษฐานไว้
โดยไม่ขัดกับกฏแห่งกรรม

6. สีเหลือง เหล็ก ไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของภูมิจิตภูมิธรรม ของเหล่าอริยเทพ อริยพรหม ในระดับรูปฌาณ
ที่ปรารถนาพุทธภูมิในระดับ พระปัจเจกพุทธเจ้า สีสันเหมือนกับแสงนวลของพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ มัก แฝงเร้นในที่สงบด้วยป่าเขา
ลำเนาไพร ถ้ำคูหาที่สงบเยือกเย็นบนภูเขาสูงๆ เรียกลมเรียกฝนได้ มีอิทธิ์ฤทธิ์ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้มากมาย
เช่น ดวงรัศมีกลมใหญ่ส่องสว่างทั่วภูเขา จะพบเห็นได้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

เหล็กไหลประเภทนี้สามารถอธิษฐานขออาราธนาบารมีจากพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ได้
แต่จะไม่มีเทพเข้าไปสิงสถิตย์อยู่ แต่เทพพรหมในระดับจ่างๆ จะเข้าไปอธิษฐานของบารมีและเฝ้ารักษาอยู่ภายนอกเท่านั้น
ไม่มีใครจะบังคับหรืออัญเชิญท่านด้วยอิทธิ์ฤทธิ์หรือวิชาคาถาอาคมใดๆ เว้นแต่ขอชมบารมี ขอคำแนะนำในการปฏิบัติธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป โดยมาปรากฏในลักษณะนิมิตรต่างๆ ในขณะนั่งสมาธิ

7. สีฟ้าอ่อน เหล็ก ไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ อริยะเทพ ในระดับมหาเทพชั้นสูง ผู้ครอบครองเหล็กไหลชนิดนี้
จะเป็นผู้มีบารมีเดิมที่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน เพื่อช่วยส่งเสริมด้านบารมีธรรมทั้งนักบวชและฆราวาสให้เป็นผู้สอนธรรมใน ระดับปานกลาง จนถึงระดับสูงขึ้นไป

มี ฤทธิ์อำนาจในการขจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ ดับพิษร้อน ป้องกันภูติผีปีศาจ แต่มีขอบเขตและรัศมีที่จำกัด
สามารถล่องหนหายตัวได้ กันฟ้าผ่า มีความเย็นจนสามารถกำจัดไฟได้ในรัศมีของมัน

8. สีน้ำตาลอมแดง เหล็ก ไหลชนิดนี้มีพวก นาค นาคา ผู้บำเพ็ญศีลเฝ้ารักษาอยู่ จึงมีฤทธิ์อำนาจในทางความร้อนแรงด้วยพิษแห่งนาคทั้งหลาย
จึงทำให้เหล็กไหลประเภทนี้มีสีออกทางน้ำตาลเข้มและน้ำตาลอมแดง

มีฤทธิ์อำนาจในทำลายล้างพวกมนต์ดำ อวิชชา ป้องกันภูติผีปีศาจได้

9. สีดำเหมือนนิลเหล็ก ไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ เหล่าเทพ คนธรรพ์ บังบด เพชรพญาธร ยักษ์ ผู้ปรารถนาจะสร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
แต่ยังติดอยู่ในระดับโลกียฌาณ คือยังมีความ โลภ โกรธ หลง ติดอยู่ จึงทำให้มีบารมีทางธรรมน้อยกว่าเหล็กไหลชนิดอื่นๆ

มีฤทธิ์อำนาจทางการคุ้มครอง แคล้วคลาดกันภัย เป็นมหาอุด คงกระพัน

10. เจ็ดสีประกายรุ้ง เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ อริยะเทพ อริยะพรหมผู้รักษาเหล็กไหล
ที่ปฏิบัติจนสภาวะจิตเป็นสีประกายรุ้งรัศมีสวยสดงดงาม เป็นธาตุที่หาได้ยากที่สุดและมี อำนาจครอบจักรวาลประหนึ่งแก้วสารพัดนึก
แต่สิ่งที่จะอธิษฐานนั้นจะสำเร็จได้โดยไม่เกินอำนาจของกฏแห่งกรรมตามวาสนาเท่านั้น
http://www.gungold.com/forums/index.php?topic=3150.0

วันเสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554

สมเด็จ อรหัง ยันต์จม



พระสมเด็จอรหัง วัดมหาธาตุ
พระสมเด็จอรหัง วัดมหาธาตุ
พระสมเด็จอรหัง วัดมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร ที่ "พันธุ์แท้พระเครื่อง" จะกล่าวถึงในฉบับนี้ เป็นพระพิมพ์เก่าแก่ที่มีความเหมือนกับ "พระสมเด็จ" อันลือชื่อที่สร้างโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นเนื้อมวลสารหรือพิมพ์ทรง แม้กระทั่งอายุการสร้างก็คงจะไม่ด้อยไปกว่ากันมากนัก อาจเนื่องด้วยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชเจ้า (สุก ไก่เถื่อน) ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและเคารพเลื่อมใสของพุทธศาสนิก ชนทั่วประเทศ และยังมีกิตติศัพท์เป็นที่เลื่องลือในด้านพุทธาคมเป็นเลิศในสมัย และยังเป็นพระอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นผู้จัดสร้าง ในอดีตเรียกว่าเป็นที่นิยมสูงรองๆ จากพระสมเด็จทีเดียวครับผม

"พระสมเด็จอรหัง" ใช้ปูนเปลือกหอยเป็นมวลสารหลัก ในการสร้างเช่นเดียวกับพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม ส่วนผสมอื่นๆ ก็คล้ายคลึงกัน เช่น เศษอาหารที่ฉัน วัสดุบูชา และผงอิทธิเจ จะผิดกันตรงสัดส่วนของมวลสารแต่ละชนิดที่นำมาผสมกันเท่านั้น ร่องรอยการสลายตัวและหดตัวก็จะเหมือนกัน ด้วยมวลสารและอายุขององค์พระใกล้เคียงกัน แต่เนื้อขององค์พระของ พระสมเด็จอรหังจะมี 2 สี คือ เนื้อขาวและเนื้อแดง สันนิษฐานว่าอาจจะมีการผสมปูนกินหมากหรือพิมเสนเข้าไป เมื่อผสมกับปูนเปลือกหอยทำให้เนื้อมวลสารกลายเป็นสีแดง

"พระสมเด็จอรหัง วัดมหาธาตุ" เป็นพระเนื้อผง รูปสี่เหลี่ยมชิ้นฟัก องค์พระประธานประทับนั่ง แสดงปางสมาธิ บนฐานสามชั้น และมีซุ้มครอบแก้วเช่นเดียวกับพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม แต่จะมีพุทธลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะคือ แม่พิมพ์เป็นแม่พิมพ์ที่ใช้แผ่นหินอ่อนปิดทั้ง 4 ด้าน เมื่อกดพิมพ์เป็นที่เรียบร้อยก็จะเปิดแผ่นหินอ่อนและถอดองค์พระออกจากแม่ พิมพ์ ไม่ต้องมีการตอกตัด จึงปรากฏเส้นขอบนูนทะลักขึ้นมาทั้ง 4 ด้าน อันเป็นเอกลักษณ์สำคัญประการหนึ่ง เส้นซุ้มครอบแก้วเป็นเส้นเล็กและบาง พระเกศเป็นเส้นเล็ก คม และยาว พระพักตร์กลม พระกรรณทั้งสองข้างเป็นเส้นเล็กนูนและคม ข้างขวาขององค์พระจะชิดพระพักตร์มากกว่าข้างซ้าย ลำพระศอเป็นเส้นคม พระอุระเป็นรูปตัววี (V) มีเส้นอังสะ 2 เส้น คมและชัดเจนมาก พระพาหาเป็นรูปวงกลม ไม่มีหักศอก และพระเพลามีลักษณะคล้ายเรือสำปั้น

"พระสมเด็จอรหัง" แบ่งแยกพิมพ์ได้ทั้งหมด 8 พิมพ์ คือ พิมพ์ใหญ่ ฐานสามชั้น เนื้อขาว พิมพ์ฐานคู่ เนื้อขาว พิมพ์ใหญ่ ฐานสามชั้น เกศอุ เนื้อขาว พิมพ์เล็ก มีประภามณฑล เนื้อขาว พิมพ์เล็ก ไม่มีประภามณฑล เนื้อขาว พิมพ์ชิ้นฟัก เนื้อขาว พิมพ์ใหญ่ ฐานสามชั้น เนื้อแดง และพิมพ์ฐานคู่ เนื้อแดง

พระสมเด็จอรหัง ทุกพิมพ์จะมีพิมพ์ด้านหลังเหมือนกันคือ มีรอยเหล็กจารลึกลงไปในเนื้อว่า "อรหัง" และพื้นผิวจะปรากฏรอยเหี่ยวย่นและการยุบตัวของเนื้อพระคล้ายเส้นพรายน้ำ หรือกาบหมาก ลักษณะเหมือนนำกาบหมากมากดเพื่อให้เนื้อแน่นมองดูคล้าย "หลังกาบหมาก" เว้นแต่เพียงพิมพ์เดียวคือ พระสมเด็จอรหัง พิมพ์ชิ้นฟัก เนื้อขาว พิมพ์ด้านหลังจะเป็นพื้นเรียบธรรมดา

พระสมเด็จอรหัง วัดมหาธาตุ สมเด็จพระสังฆราชสุก กรุงเทพมหานคร เป็นพระพิมพ์เก่าแก่ที่น่าสนใจสะสมพิมพ์หนึ่ง ซึ่งสนนราคา ณ ปัจจุบัน ยังพอเช่าหาได้อยู่ แต่ของปลอมก็ค่อนข้างมาก ต้องพิจารณาให้ละเอียดครับผม ข่าวพระเครื่อง

พันธุ์แท้พระเครื่อง ราม วัชรประดิษฐ์

พระสมเด็จอรหัง วัดมหาธาตุ สมเด็จพระสังฆราชสุก (สุก ญาณสังวโร)



แทน ท่าพระจันทร์ สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน เนื่องจากมีผู้อ่านอยากจะได้เขียนถึงพระเนื้อผงแบบพระสมเด็จฯ ที่พระเกจิอาจารย์ต่างๆ ท่านได้สร้างไว้นอกเหนือจากพระที่เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้สร้างไว้ ในวันนี้ผมก็จะเริ่มจาก พระสมเด็จอรหัง ซึ่งเชื่อกันว่าสมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวโร) สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงสร้างไว้

สมเด็จพระสังฆราช สุก เดิมท่านอยู่ที่วัดพลับ (วัดราชสิทธาราม) ครั้งสุดท้ายท่านได้รับพระราชทานสถาปนาให้เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ลำดับที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แล้วย้ายมาประทับที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ และที่วัดนี้เองซึ่งท่านได้แจกพระสมเด็จอรหังและบรรจุกรุไว้ส่วนหนึ่ง สันนิษฐานว่าพระสมเด็จอรหังท่านได้สร้างไว้ตั้งแต่เมื่อยังดำรงตำแหน่งเป็น สมเด็จพระราชาคณะอยู่ที่วัดพลับ ประมาณปี พ.ศ.2360-2363

พระสมเด็จอรหัง เป็นพระสมเด็จเนื้อผง รูปทรงแบบสี่แหลี่ยมชิ้นฟัก มีด้วยกันหลายพิมพ์ เช่น พิมพ์สังฆาฏิ พิมพ์ฐานคู่ พิมพ์เกศอุ พิมพ์เล็กมีประภามณฑล และพิมพ์เล็กไม่มีประภามณฑล ที่ด้านหลังของพระมักมีการจารอักขระเป็นตัวหนังสือขอม คำว่า "อรหัง" และอีกส่วนหนึ่งที่ใช้ตราปั้มเป็นคำว่า "อรหัง" ก็มี มักเรียกหลังแบบนี้ว่า หลังตั้งโต๊ะกัง เนื่องจากลักษณะการปั้มด้านหลังคล้ายกับตราประทับเลยก็มีบ้างเป็นส่วนน้อย และพระสมเด็จอรหังนี้ เนื่องจากพระส่วนใหญ่ด้านหลังมีคำว่า "อรหัง" จึงนิยมเรียกกันจนติดปากว่า "สมเด็จ อรหัง"

พระสมเด็จอรหัง เนื้อส่วนใหญ่จะเป็นพระเนื้อผงปูนขาว เนื้อพระจะแตกต่างกันบ้าง เช่น เป็นแบบเนื้อขาวออกหยาบมีเม็ดทราย แบบขาวละเอียดมีเม็ดทราย แบบเนื้อขาวละเอียด และมีแบบเนื้ออกสีแดงเรื่อๆ เนื้อนี้มักเป็นแบบเนื้อหยาบมีทราย

พระสมเด็จอรหัง ส่วนใหญ่แจกที่วัดมหาธาตุฯ และพบบรรจุกรุในองค์พระเจดีย์ที่วัดมหาธาตุ พระที่พบที่วัดมหาธาตุเป็นพระเนื้อสีขาวที่ด้านหลังมักเป็นแบบหลังจาร ต่อมามีผู้พบพระแบบเดียวกันที่วัดสร้อยทองอีก ซึ่งพบบรรจุไว้ในองค์พระเจดีย์ แต่พระที่พบมักเป็นพระแบบเนื้อสีแดง และที่ด้านหลังมักเป็นแบบหลังโต๊ะกังเป็นส่วนใหญ่ มีพบเป็นแบบเนื้อขาวบ้างแต่น้อยมาก และพระที่พบที่วัดสร้อยทองนั้นมักเป็นพระเนื้อหยาบกว่าที่พบที่วัดมหาธาตุฯ มีบางท่านให้ข้อคิดเห็นว่า พระที่พบที่วัดสร้อยทองนั้นอาจจะเป็นพระที่สร้างขึ้นมาภายหลังก็อาจเป็นได้

พระสมเด็จอรหัง วัดมหาธาตุ ของท่าน สมเด็จพระสังฆราชสุก จะมีทั้งที่บรรจุกรุและไม่ได้บรรจุกรุ พระที่ไม่ได้บรรจุกรุบางองค์พบมีการลงรักไว้แต่เดิมก็มี เป็นพระสมเด็จอีกตระกูลหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาแต่ในอดีต ปัจจุบันสนนราคาก็สูงพอสมควรอยู่ที่หลักแสนถึงหลายๆ แสนครับ แต่ก็หาพระแท้ๆ ยากเช่นกัน ในวันนี้ผมก็ได้นำรูปพระสมเด็จ อรหัง พิมพ์สังฆาฏิ มาให้ชมกันทั้งด้านหน้าและด้านหลังครับ
พระสมเด็จอรหังพิมพ์เล็ก สังฆราชไก่เถื่อน ข่าวพระเครื่อง

ด้วยความจริงใจ แทน ท่าพระจันทร์
ที่มา...หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.tumsrivichai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=5345080&Ntype=40

http://ucommerce.uamulet.com/CommerceDetail.aspx?bid=110&qid=1304

ปรกโพธิ์ ลป.นาค วัดระฆัง



พระสมเด็จปรกโพธิ์หลวงปู่นาควัดระฆังปี 2485
รายละเอียด จัดเป็นพระสมเด็จสายวัดระฆังที่มีประวัติการจัดสร้างชัดเจน มีมวลสารผงเดิมของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต(พรหมรังสี) ผู้สร้างจักรพรรดิ์พระเครื่อง ผสมอยู่เป้นจำนวนมาก ด้วยหลวงปู่นาคเป็นศิษย์ของสมเด็จพระพุทฒาจารย์โต
สำหรับองค์นี้เป็นพระพิมพ์สมตรฐาน เรียกว่าพิมพ์ปรกโพธิ์ เนื้อหาดี พิมพ์ทรงงดงาม ข้างตัดตามสูตร สภาพสวย

http://www.web-pra.com/Auction/Show/13385